หัวข้อ
- #ความสมดุล
- #การฟื้นตัว
- #อาการเบิร์นเอาท์
- #โซเชียลมีเดีย
- #โยคะ
สร้าง: 2024-06-27
สร้าง: 2024-06-27 10:54
จินตนาการถึงการลบโซเชียลมีเดียและ KakaoTalk ทิ้ง
รู้สึกเบื่อหน่ายกับโซเชียลมีเดียที่เคยรักอย่างแท้จริง
ทำงานด้วยความรู้สึกผูกพันจนสุดท้ายก็เผชิญกับอาการเบิร์นเอาท์
ฝึกโยคะเพื่อเอาชนะอาการเบิร์นเอาท์และฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย
ฉันมีความฝันที่บ้าบิ่นอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือการลบโซเชียลมีเดียและ KakaoTalk ทิ้งทั้งหมด แล้วใช้เวลา 1 ปีในการทุ่มเทให้กับชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่
สำหรับผู้เขียนที่สอนนักศึกษาเกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย เขียนบทความเกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย และเป็นครีเอเตอร์นั้น ฝันนี้ดูเหมือนจะเป็นฝันที่เป็นไปไม่ได้เลย
ผู้เขียนเคยรักโซเชียลมีเดียอย่างแท้จริง แต่คำกล่าวที่ว่า ‘ความรักที่มากเกินไปก็เป็นพิษ’ นั้นเป็นความจริง ฉันถ่ายวิดีโอวันละ 30-40 คลิป อัปโหลดวิดีโอวันละ 3-4 คลิป และใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปี จนสุดท้ายก็เผชิญกับอาการเบิร์นเอาท์
ในขณะที่กำลังเผชิญกับอาการเบิร์นเอาท์ ฉันได้พบกับความขัดแย้งที่ ‘สิ่งที่เคยรักมากกลับกลายเป็นสิ่งที่เกลียด’ ฉันยังคงรู้สึกเหมือนรักและอยากรัก แต่กลับรู้สึกเหมือนไม่สามารถรักได้อีกต่อไป จนทำให้รู้สึกทุกข์ใจ
ฉันได้ทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเอง ข้อแรกคือฉันไม่ควรทำขนาดนั้น ถ้ามีใครถามฉันว่าอาการเบิร์นเอาท์เป็นอย่างไร ฉันจะตอบว่า ‘รู้สึกเหมือนขาหัก’ ฉันไม่ควรวิ่งจนกว่าขาจะหัก เพราะหลังจากขาหักแล้ว ฉันก็วิ่งไม่ได้อีกต่อไป สิ่งที่ทำได้คือรอให้ขาหายและมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟู ฉันควรจะรู้จักขีดจำกัดของตัวเอง และฉันก็กำลังสำนึกผิดกับเรื่องนี้
ประการที่สองคือฉันไม่ควรตั้งเป้าหมายเป็นตัวเลข ฉันมักจะมีเป้าหมายเสมอ และเป้าหมายเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็น ‘ตัวเลข’ เช่น มีผู้ติดตาม 1 ล้านคน มีจำนวนผู้ชม 1 ล้านครั้ง ฯลฯ ฉันจะเขียนเป้าหมายประจำสัปดาห์แล้วลบออกหลังจากที่บรรลุเป้าหมายแล้ว มันเหมือนกับเกมหนึ่งเกม และฉันก็วิเคราะห์และคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะอัปเกรดเลเวลของเกมได้อย่างไร และทำภารกิจให้สำเร็จ
และนั่นทำให้ฉันสูญเสียความสนุกในการสร้างเนื้อหาไป ฉันสูญเสียแรงจูงใจหลังจากที่บรรลุเป้าหมายตัวเลขที่ตั้งไว้ ฉันรู้สึกสิ้นหวังว่าทำไมต้องทำสิ่งนี้ต่อไป และมันมีความหมายอะไรอีกต่อไป ถ้าเป้าหมายของฉันคือ ‘การเป็นคนที่สร้างเนื้อหาที่ทำให้ผู้คนมีความสุขอย่างต่อเนื่อง’ หรือความหมายของความสำเร็จในฐานะครีเอเตอร์คือ ‘การสร้างเนื้อหาที่ฉันชอบไปตลอดชีวิต’ ฉันคงยังคงมีความสุขกับการสร้างเนื้อหาอยู่หรือเปล่า
สุดท้ายแล้วฉันต้องสารภาพว่ามันคือ ‘ความโลภ’ ที่นำไปสู่ ‘ไฟ’ ฉันกำลังรับผิดชอบและจ่ายค่าความผิดพลาดนั้นอยู่
ฉันยังคงรักโซเชียลมีเดียมาก ฉันสนุกกับการวิเคราะห์มีมและเทรนด์ และฉันก็สนุกกับการสอนไวยากรณ์ของโซเชียลมีเดียแก่นักศึกษา มันเลยรู้สึกขัดแย้งกันนิดหน่อย รู้สึกแบบชอบแต่ก็อยากจะรังเกียจ มันมีคำภาษาอังกฤษที่ใช้แสดงความรู้สึกแบบนี้ คือ ‘love hate relationship’
ลองนึกย้อนกลับไปตอนที่ฉันทำงานเป็นไอดอลดูสิ ฉันเริ่มเป็นนักร้องเพราะรักการร้องเพลงมาก แต่หลังจากที่ทำงานหนักเกินไปหลายปีและการร้องเพลงกลายเป็น ‘งาน’ ฉันก็เริ่มไม่ชอบร้องเพลงอีกต่อไป ฉันกลับมารักการร้องเพลงอีกครั้งก็ตอนที่ฉันเริ่มเป็นครีเอเตอร์ เมื่อฉันเริ่มห่างเหินจากการร้องเพลง ฉันก็กลับมารักการร้องเพลงอีกครั้ง
เคยมีคนบอกฉันว่า ‘ฉันคิดว่าสิ่งที่ชอบจริงๆ ไม่ควรกลายเป็นอาชีพ เพราะมันจะทำให้เราเกลียดมัน’ ตอนแรกฉันไม่เข้าใจคำพูดนั้น แต่ตอนนี้ฉันเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่สิ่งใดกลายเป็นงาน ในช่วงเวลาที่เราไม่ชอบมัน เราจะต้อง ‘รู้สึกผูกพัน’ และทำมันต่อไป และนั่นก็ทำให้เกิดช่วงเวลาที่เราเริ่มเกลียดงานนั้นขึ้นมา
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังคงคิดว่าคนเราควรทำในสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ แน่นอนว่ามันอาจจะมีช่วงเวลาที่มันกลายเป็นงานและทำให้เราเกลียดมัน แต่ฉันเชื่อว่าเราสามารถเรียนรู้วิธีการหา ‘สมดุล’ ผ่านประสบการณ์ต่างๆ และกลับมารักมันได้อีกครั้ง
สิ่งพื้นฐานที่สุดที่ฉันทำเพื่อเอาชนะอาการเบิร์นเอาท์คือการกินและนอนให้เพียงพอ หลายคนคิดว่าอาการเบิร์นเอาท์เป็นปัญหาของ ‘จิตใจ’ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นปัญหาของ ‘ร่างกาย’ มากกว่า เมื่อเผชิญหน้ากับงาน เราไม่ได้มีปฏิกิริยาทางจิตใจ แต่เป็น ‘ปฏิกิริยาทางร่างกาย’ เช่น เมื่อเราพยายามทำงาน เราอาจจะรู้สึกเหมือนสมองไม่ทำงาน หรือรู้สึกคลื่นไส้เหมือนจะอาเจียน ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางร่างกาย ดังนั้นเราจึงต้องใส่ใจกับการฟื้นฟูร่างกายควบคู่ไปกับการดูแลจิตใจด้วย
ดังนั้นฉันจึงเลือกฝึกโยคะ ซึ่งเป็นการฝึกฝนทั้งกายและใจ ครีเอเตอร์คนหนึ่งที่เคยเผชิญกับอาการเบิร์นเอาท์และเอาชนะมันได้แนะนำโยคะให้ฉัน เธอเล่าให้ฟังว่าเธอเอาชนะอาการเบิร์นเอาท์ได้ด้วยโยคะในช่วงเวลาที่หนักที่สุด และแนะนำให้ฉันกิน นอน และออกกำลังกายให้เพียงพอ จริงๆ แล้วฉันรู้สึกว่าร่างกายของฉันเริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ฝึกโยคะ
นอกจากนี้ ฉันยังพยายามเอาชนะอาการเบิร์นเอาท์ด้วยการรู้จักขีดจำกัดของตัวเองและกำหนดขอบเขต (Boundary) เมื่อร่างกายส่งสัญญาณว่าเหนื่อย ฉันก็จะหยุดพัก ไม่ฝืนตัวเอง ถึงแม้ว่าฉันจะอยากทำต่อก็ตาม ตอนแรกฉันรู้สึกกังวลว่าการทำแบบนี้จะทำให้ฉันตามคนอื่นไม่ทัน แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ากระบวนการนี้จำเป็นต่อการก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน ดังนั้นฉันจึงหยุดพัก
ปัจจุบันฉันพยายามทำอีกอย่างหนึ่งคือการเผยแพร่ ‘เนื้อหาใหม่’ บน ‘แพลตฟอร์มใหม่’ ด้วยความสนุกสนาน ฉันเลือกแพลตฟอร์มใหม่คือ Thread และ Brunch และเนื้อหาใหม่คือเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘การพบรักและการแต่งงาน’
ฉันรู้ดีว่าอะไรจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากที่สุด และได้ ‘ไลค์’ มากที่สุด รวมถึงแพลตฟอร์มไหนกำลังมาแรง แต่การไล่ตามเทรนด์อย่างเดียวอาจทำให้ฉันสูญเสียตัวเองอีกครั้ง ดังนั้นฉันจึงทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ และฟื้นฟูความรักที่มีต่อเนื้อหา
ยุคนี้เป็นยุคของ Reels, Shorts, TikTok และวิดีโอสั้นๆ และฉันรู้ดีว่านั่นคือโอกาส แต่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฉันใช้พลังงานไปหมดแล้วโดยที่ไม่ได้เก็บสะสมไว้ใช้ในอนาคต ฉันเป็นคนที่พูดเสมอว่าการเป็นผู้บุกเบิกสำคัญ แต่ตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าการวิ่งสุดกำลังตั้งแต่แรกนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป
ถ้าอยากเอาชนะอาการเบิร์นเอาท์ให้หายขาด 100% ฉันคงต้องทำตามความฝันที่เคยพูดถึงไปแล้ว นั่นคือ ‘การลบโซเชียลมีเดียและ KakaoTalk ทิ้งทั้งหมด แล้วใช้เวลา 1 ปีในการทุ่มเทให้กับชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่’ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง ฉันก็คิดว่ามันบ้าบิ่นเกินไป ดังนั้นฉันจึงเลือกที่จะฟื้นฟูตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ
ฉันหวังว่าจะเอาชนะ ‘ความสัมพันธ์แบบรักๆ เกลียดๆ’ ระหว่างฉันกับโซเชียลมีเดียได้ และกลับมามีความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรักอีกครั้ง
※ ผู้เขียนบทความนี้คือตัวฉันเอง และบทความที่เขียนให้กับหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจสตรีนี้
ความคิดเห็น0